วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ปรัชญา 14 ข้อของ Dr.Demingการบริหารคุณภาพ TQM




"We have learned to live in a world of mistakes and defective products as if they were necessary to life. It is time to adopt a new philosophy in America."

Japanese TQM Models



ปรัชญา 14 ข้อของ Dr.Demingการบริหารคุณภาพ TQM


1. ใช้ความคิดสร้างสรรค์ปรับปรุงอยู่เสมอ (Constancy)ในทุกขั้นตอนของงาน โดยมุ่งไปที่

เป้าหมายสำคัญ 3 ประการ คือ

- เพื่อแสดงความสามารถในการแข่งขัน

- ความอยู่รอดขององค์การ

- เพื่อสร้างงานให้ประชาชน

ผู้บริหารต้องเป็นผู้ริเริ่มหาความรู้ใหม่มาใช้ปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นเรื่อยๆและต้องฝึกอบรมพนักงานทุกคนอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ทุกคนรับรู้ข่าวสารข้อมูลของคู่แข่งตลอดเวลาจะได้รู้จุดอ่อนของตนเองและหาทางปรับปรุงตนเองให้ทันและล้ำหน้า

2. ต้องสร้างปรัชญาใหม่ (New Philosophy) เลิกยึดติดกับปรัชญาแบบเก่า โดย

- ต้องปรับเปลี่ยนความคิดและวิธีการบริหารแบบเก่ามาเป็นการบริหารคุณภาพ

- ต้องสลัดความเชื่อเก่าๆทิ้งไปให้หมด เพราะการเปลี่ยนแปลงเทคนิคโดยไม่เปลี่ยนความคิดและวิธีการทำงานจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากหัวขยับก่อน เป็นนายสายพันธ์ใหม่(new bleed)คือปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำใหม่ อย่างจริงจัง

แต่ถ้าองค์การวางแผนการปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่ทุกคนเห็นด้วยแต่พอทำจริงๆ ก็ทำเหมือนเดิม ดูข้างนอกเหมือนมีการเปลี่ยนแปลง แต่ดูไส้ในเหมือนเดิม ไม่ใช่เป็นนายสายพันธุ์ที่สาม คือสายพันธุ์ใหม่แต่สันดานเดิม (new bleed old behavior)

3. เลิกใช้วิธีการตรวจสอบแบบเก่า (Cause Inspection) ที่มุ่งการจับผิด มาเป็นการตรวจสอบเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ต้องทำให้ทุกคนมีความสุข มีขวัญกำลังใจในการทำงาน มีความภูมิใจในงาน

การตรวจสอบต้องมุ่งเพื่อการปรับปรุง และต้องทำในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงาน เพราะคุณภาพของงานจะดีได้ต้องมีการควบคุมในทุกขั้นตอนของกระบวนงาน ตั้งแต่วัตถุ สิ่งของ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ การออกแบบ ขั้นตอนและวิธีการทำงาน เช่นการทำให้หน่วยงานราชการสามารถให้บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง โปร่งใส คำนึงถึงความสำเร็จของงาน

4. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีหรือการประสานงานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น (Partner Supplier) เพื่อให้ได้วัตถุดิบทุกชิ้นที่มีคุณภาพ เพราะผลงานที่มีคุณภาพต้องได้ส่วนประกอบทุกชิ้นที่มีคุณภาพ

ผู้บริหารต้องประสานส่งเสริมให้ผู้ผลิตวัตถุดิบปรับปรุงคุณภาพการผลิตของเขาเพื่อความเป็นเลิศในงานของเรา

5. การปรับปรุงต้องทำทุกขั้นตอนของระบบการทำงาน และทำเป็นประจำเสมอต้นเสมอปลาย ทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง (Improve Constantly)

6. ควรจัดให้มีสถาบันฝึกอบรม (Institute Training) และการฝึกอบรมต้องมีหลักการอย่างเป็นระบบ ต้องมีการสำรวจจุดบกพร่องของคนแล้วสร้างหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

เช่น ถ้าจะปฏิรูปการทำงานไปสู่องค์กรคุณภาพ จะต้องฝึกอบรมคนในองค์การอย่างไรต้องดูว่าคนเหล่านั้นมีความรู้แบบใหม่หรือไม่ มีความรู้พื้นฐานอย่างไร ยังขาดอะไรนำข้อมูลที่ได้รับมาจัดทำหลักสูตรที่จะฝึกอบรมเพื่อลบสิ่งที่บกพร่องและเติมสิ่งที่ต้องการให้เขา

7. อบรมผู้นำ (Institute Leadership) พนักงานทุกคนต้องการผู้นำไม่ใช่ผู้คุม ผู้นำสมัยใหม่ต้อง

ใช้ระบบผู้นำไม่ใช่ระบบการใช้อำนาจสั่งการ ข่มขู่ (Supervision)

- ผู้นำ คือผู้ให้การ สนับสนุน ช่วยเหลือ แนะนำ ปลอบ ให้กำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้ผู้ร่วมงาน ต้องมีการประเมินตนเอง ประเมินระบบงาน เสมอ

- ผู้นำต้องเป็นตัวอย่างที่ดี สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่น ให้ทุกคน ต้องมีความสามารถในการจูงใจผู้ร่วมงาน ทำให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข มีความภูมิใจในงานที่ทำ

- ผู้นำจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมในบทบาท อำนาจหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง

8. ขจัดความกลัว (Drive out of fear ) และสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้น (Trust) เพื่อให้ทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ไว้วางใจ เชื่อถือ และนับถือซึ่งกันและกัน

การพัฒนาระบบริหารคุณภาพ พนักงานต้องมีความมั่นใจในความมั่นคงในงานที่ทำ ต้องมีการให้เกียรติ รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ต้องกล้าที่จะพูดถึงข้อบกพร่อง ยอมรับในปัญหาที่มีอยู่และหาทางแก้ไข ปรับปรุงตนเอง

การบริหารแบบเก่าที่ใช้วิธีการทำให้ลูกน้องกลัวนาย เมื่อเกิดข้อบกพร่องหรือมีปัญหาในงาน ก็ไม่กล้ารายงานๆแต่เรื่องดีๆ เพราะกลัวนายไม่พอใจ กลัวถูกลงโทษ

การพิจารณาความดีความชอบปลายปี ตามระบบคุณธรรม ควรเลิกใช้ เพราะทำให้ทุกคนกลัวว่าจะไม่ได้ จึงมักเห็นแก่ตัวไม่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวว่าจะมีผลงานมากกว่าตน

วิธีการที่น่าจะสอดคล้องกับความจริงและยุติธรรมคือ การกำหนดเป้าหมาย (Managing Performance) คือ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายขององค์การที่ชัดเจนก่อน หลังจากนั้นนำมาแบ่งเป็นเป้าหมายย่อยๆเป็นรายบุคคล เพื่อให้รู้ว่าต้องทำงานอะไรให้สำเร็จอย่างไร แล้วจะได้อะไร

การตั้งเป้าต้องมีความเป็นธรรม ทุกคนต้องมีงานพอๆกัน โดยพิจารณาจากค่าจ้างเงินเดือน ใครเงินเดือนมากต้องทำงานมาก มีเป้าใหญ่กว่าคนที่เงินเดือนต่ำกว่า ไม่ใช่ใครเก่งต้องทำมากกว่าคนไม่เก่ง 9. ขจัดอุปสรรค (Eliminate Barrier) ในการประสานงาน โดยทำให้ทุกหน่วยงานในองค์การหันมาประสานงานกัน ร่วมมือกันทำงานเพื่อสร้างความพอใจให้ลูกค้า เพื่อประโยชน์ขององค์การ

10. อย่าติดป้ายชักชวนให้คนอย่าทำผิด (Eliminate Slogan) เพราะเป็นสิ่งไม่จำเป็น ถ้ามีการปรับปรุงการทำงานอย่างต่อเนื่องสิ่งผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อยมาก

11. เลิกโควตา (No Quotas) เพราะการกำหนดโควตาเป็นตัวเลขเป็นการวัดปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพให้เลิกใช้ แต่ให้ใช้ระบบการสร้างทีมงาน และระบบผู้นำแทน เอาความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จแทนตัวเลข

12. สร้างความสุขในงาน (Increase Joy) ต้องสร้างระบบงานที่สามารถสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน ความสบายใจ ความรู้สึกมั่นคงในงาน มีความสุขในการทำงานให้เกิดขึ้นในองค์การ

วิธีการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง การโยกย้าย และการลงโทษ ด้วยการตำหนิ เก็บเข้ากรุ เป็นการรังแกผู้ปฏิบัติงาน เป็นการสร้างความหวาดระแวง ความไม่สบายใจและความขัดแย้งในองค์การ

การให้รางวัลและสิทธิประโยชน์ต้องทำด้วยความเป็นธรรม เพื่อให้คนเก่ง คนดี มีกำลังใจอยากทำงานอยู่กับองค์การต่อไป

ดังนั้นเกณฑ์การตัดสินเงินเดือน รางวัล หรือตำแหน่ง ต้องมีความชัดเจนและเป็นธรรม การจักการคนเก่งไม่ยาก คือการให้เงินเดือน ผลประโยชน์ตอบแทน ตำแหน่งความรับผิดชอบที่สูงขึ้น แต่การจัดการกับคนไม่เก่งเป็นเรื่องยากมาก คือทำอย่างไรให้พอไปได้ ( ปลดออก ไล่ออก)

13. ให้มีการศึกษา(Education) การหาความรู้เพื่อพัฒนาสมองคนให้รู้จักคิดอย่างเป็นระบบ พยายามที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ไม่มีองค์การอยู่รอดถ้าไม่มีการพัฒนาคน

14. ลงมือปฏิบัติ (Do it) เพื่อความสำเร็จขององค์การ ผู้นำต้องมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง มีความรู้จริงเรื่องระบบคุณภาพเพื่อความอยู่รอด

การบริหารคุณภาพทั่วทุกด้านทั้งองค์การ TQM



การบริหารคุณภาพทั่วทุกด้านทั้งองค์การ TQM
ความเป็นมาของระบบการบริหารคุณภาพ TQM

Dr.Deming และ Dr.Juran ได้เข้ามาสอนถึงหลักการพัฒนาคุณภาพให้ญี่ปุ่นในช่วง ค.ศ.1950 - 1955

ญี่ปุ่นได้พัฒนาแนวคิดและหลักการของ Dr.Deming และ Dr.Juran ขึ้นมาเป็นกลุ่มกิจกรรมคุณภาพ (QCC) และใช้อย่างแพร่หลายในปี 1960 เป็นต้นมา

ต่อมาในปี ค.ศ.1965 ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพทั่วทั้งองค์การที่เรียกว่า Company Wide Quality Control - CWQC ขึ้นมาใช้

10 ปีต่อมา ญี่ปุ่นมีความสามารถในการเพิ่มผลผลิตเหนือกว่าสหรัฐ ฯ เป็นเวลา 20 ปี (ค.ศ.1970-1990) และเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นอันดับ 1 ของโลกในช่วงทศวรรษ 1980 -1990

นอกจากกลุ่มกิจกรรมคิว ซี แล้ว ลัทธิไคเซ็นที่พัฒนาขึ้นมา จากคำสอนของ Dr.Deming ที่ว่าให้มีการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องเป็นวงจรไม่มีการหยุดนิ่งยังถูกปลูกฝังให้คนญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นได้นำแนวคิดของ Dr. Deming& Dr.Juran มาพัฒนาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานของตนจนทำให้สามารถพัฒนาประเทศให้มีขีดความสามารถสูงสุดของโลก

ชาวอเมริกันสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้ญี่ปุ่นสามารถบริหารงานและพัฒนาอุตสาหกรรมจนก้าวล้ำหน้าสหรัฐได้ ทั้ง ๆ ที่

- คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้ทำงานหนักกว่าคนอเมริกัน

- เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีของญี่ปุ่นก็ไม่ได้เหนือกว่าสหรัฐฯ เลย

ในปี 1980 Dr.Deming ได้รับเชิญให้มาพูดในรายการทีวีที่ชื่อว่า “If Japan Can, Why Can’t We” Dr.Deming มีความเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐฯ แพ้ญี่ปุ่น เพราะความบกพร่องของระบบบริหารของสหรัฐฯ ที่ยังเป็นการบริหารแบบตะวันตก และเน้นหลักลำดับขั้น การออกคำสั่งและครอบงำความคิดของลูกน้อง

ในขณะที่ญี่ปุ่นใช้วิธีการระดมสมองจากพนักงานทุกคน เน้นการทำงานเป็นทีม (Team Work) โดยยึดความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเป้าหมาย

หลังจากนั้นการบริหารคุณภาพจึงถูกจุดประกายขึ้นมาทั้งในองค์การภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน

ในปี 1981 ประธานาธิบดีโรนัล รีแกน ได้กล่าวไว้ในส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ในวันสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งว่า “รัฐบาลเองคือปัญหา” (Government is the problem) เป็นการเตือนให้ภาครัฐต้องปฏิรูป

ในปี 1983 ประธานาธิบดีรีแกนได้กล่าวในที่ประชุมที่ทำเนียบขาวว่า “ความสามารถในการเพิ่มผลผลิต (Productivity) คือความท้าทายความเจริญก้าวหน้า และขีดความสามารถในการแข่งขัน ของสหรัฐอเมริกาในอนาคต”

สาเหตุที่สหรัฐสู้ญี่ปุ่นไม่ได้เพราะความถดถอยของการเพิ่มผลผลิต ที่เกิดจากระบบการบริหารที่ล้าสมัย วิสัยทัศน์สั้น เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ดงนั้นการเพิ่มผลผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ

Productivity หรือ ผลิตภาพการผลิต คืออะไร ?

ผลิตภาพการผลิตหมายถึง อัตราส่วนระหว่างผลผลิตที่ได้รับกับปริมาณทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการทำงานนั้น

ผลิตภาพการผลิต ผลผลิต(ผลงาน)ที่ได้รับ

(Productivity) = ปัจจัยการผลิตที่ใช้ไป

( แรงงาน เวลา วัตถุดิบ เงิน )

การวัดผลิตภาพการผลิตเป็นประจำอย่างเหมาะสมจะทำให้มองเห็นจุดบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขได้อย่างดี

การเพิ่มผลิตภาพการผลิต หมายถึง จำนวนผลผลิตหรือผลงานที่เพิ่มขึ้น ภายใต้การใช้แรงงาน และทรัพยากรบริหารอื่น ๆ เท่าเดิม

การเพิ่มผลิต ภาพการทำงานจึงเป็นเรื่องของการหาวิธีการปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นโดย

1. แสวงหาวิธีการทำงานให้ได้มากขึ้นภายใต้การใช้ทรัพยากรเท่าเดิม หรือ

2. ทำอย่างไรจึงทำให้ได้งานเท่าเดิม แต่ใช้ทรัพยากรน้อยลง

การเพิ่มผลิตภาพการผลิต จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์การและขึ้นอยู่กับคุณภาพของแรงงานเป็นสำคัญ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต เป็นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานอย่างฉลาดมากขึ้น ไม่ใช่ทำงานหนักขึ้น



จากคำกล่าวของประธานาธิบดี รีแกน ทำให้มีการ แต่งตั้ง






คณะกรรมการเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ






มีการจัดตั้งรางวัล Baldrige Award ขึ้นในปี 1986



ในปี1988 มีการก่อตั้ง สถาบันคุณภาพของรัฐ (Federal Quality Institute- FQI )ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการบริหารคุณภาพตามแนวปรัชญาของเดมมิ่งให้ส่วนราชการต่างๆ เรียนรู้และเพื่อนำไปปฏิบัติ

บัญญัติ 8 ประการเพื่อ TQM ที่สมบูรณ์
ปรัชญา 14 ข้อของ Dr.Demingการบริหารคุณภาพ TQM
ความหมายของ TQM
หลักการสำคัญTQM
ปัจจัยสนับสนุนให้ TQM ประสบความสำเร็จ
การนำ TQM มาใช้

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

การใช้ google เป็นเครื่องมือในการ search หารูปภาพ

การใช้งาน google ในการ search ข้อมูล

ความหมาย ความสำคัญ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ



Information Technology หรือ IT คือ การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในระบบสารสนเทศ ตั้งแต่กระบวนการจัดเก็บ ประมวลผล และการเผยแพร่สารสนเทศ เพื่อช่วยให้ได้สารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ โดยเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจประกอบด้วย
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟท์แวร์ทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในงานเฉพาะด้าน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จัดเป็นเครื่องมือทันสมัย และใช้เทคโนโลยีระดับสูง (High Technology)
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน เพื่อรวบรวม จัดเก็บ ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป เช่น การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะของฐานข้อมูล เป็นต้น

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ

ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์

ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว

ประการที่สี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง

ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา

ประการที่หก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ

นวัตกรรมการเรียนรู้ สู่การศึกษาที่แท้






ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด

ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้

สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)



ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ผนวกกับความพากเพียรอุตสาหะได้รังสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาในโลกอยู่ตลอดเวลา เราเรียกสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ว่า "นวัตกรรม" นวัตกรรมตรงกับคำว่า "innovation" ในภาษาอังกฤษ โดยที่ในภาษาอังกฤษคำกริยาว่า innovate นั้นมีรากศัพท์มาจากคำภาษาลาตินว่า innovare ซึ่งแปลว่า "to renew" หรือ "ทำขึ้นมาใหม่" คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิด คิดว่านวัตกรรมเป็นคำที่เกี่ยวข้องเฉพาะสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในวงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งในเรื่องนี้สมเด็จพระเทรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงอธิบายไว้ในการแสดงปาฐกถาเรื่อง "เทคโนโลยี นวัตกรรม กับการพัฒนาประเทศ" ในการประชุมประจำปีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2542 มีใจความตอนหนึ่งว่า
"... คนเรานั้นจะต้องมี นวัตกรรม คือต้อง innovative หรือต้องรู้จักสร้างสรรค์ ต้องมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ว่าก็ต้องสามารถปรับโลกให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นอยู่หรือความพอใจความสุขสบายของตัวเองเหมือนกัน ต้องแก้ปัญหาด้วยความคิด พอทางหนึ่งตันก็ต้องหาทางใหม่ ไม่งอมืองอเท้ายิ่งใน ภาวะวิกฤต ยิ่งต้องการนวัตกรรม ซึ่งไม่เฉพาะแต่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นนวัตกรรมของทั้งระบบโดยรวม ตั้งแต่สังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม..."
นวัตกรรมทางด้านการเรียนรู้ก็เช่นกัน จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัย "วิถีคิด" ที่ออกนอกกรอบเดิมพอสมควร คือจะต้องออกนอก "ร่อง" หรือช่องทางเดิมๆที่เคยชิน เรียกได้ว่าจะต้องพลิกกระบวนทัศน์ (shift paradigm) ที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับการเรียนรู้เสียใหม่ จากที่เคยเข้าใจว่า การเรียนรู้ก็คือการศึกษาเพียงเพื่อให้ได้รู้ไว้ มาเป็นการเรียนรู้ที่นำมาใช้พัฒนางาน พัฒนาชีวิต ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้แบบหลังนี้จึงเป็นความรู้ชนิดที่แนบแน่นอยู่กับงาน เกี่ยวพันอยู่กับปัญหา เป็นความรู้ที่มีบริบท (context-riched) ไม่ใช่ความรู้ที่อยู่ลอยๆ ไม่สัมพันธ์หรืออิงอยู่กับบริบทใดๆ (contextless) การเรียนรู้ตามกระบวนทัศน์ใหม่นี้จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการพัฒนาตัวโจทย์ขึ้นมาก่อนโดยใช้ปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเป็นหลัก เรียกได้ว่ามีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันทำให้เกิดการเรียนรู้นี้ขึ้น การเรียนรู้ประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้แบบอุปสงค์ (demand-side learning) คือ มีความประสงค์ มีความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง แล้วจึงเกิดการเรียนรู้ขึ้นมา ซึ่งจะตรงกันข้ามกับการเรียนรู้แบบที่เราคุ้นเคยกันดีในระบบการศึกษา ที่มักจะเน้นการถ่ายทอดความรู้จากครูไปสู่นักเรียน คือจากผู้รู้ไปสู่ผู้เรียน คือมีลักษณะเป็นการเรียนรู้แบบอุปทาน (supply-side learning) ซึ่งข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจนของการเรียนรู้แบบนี้ก็คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูต้องคอยป้อน(ยัด) ความรู้เหล่านี้เข้าปาก(หัว) ผู้เรียนอยู่ตลอดเวลา โดยมักจะใช้การประเมิน การวัดผล หรือการสอบ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับใช้ "ผลัก" หรือ "ดัน" ให้คนหันมาสนใจตั้งใจเรียน การเรียนรู้แบบนี้ครูจึงมีหน้าที่หลักในการ "ผลัก" หรือ "push" ให้เกิดการเรียนรู้ มากกว่าที่จะปล่อยให้ผู้เรียน "ฉุด" หรือ "ดึง" (pull) ตัวเองไปโดยใช้ความสนใจหรือความต้องการที่จะเรียนรู้เป็นตัวดึง ซึ่งก็คือแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนเองโดยไม่ต้องให้ใครมาออกแรงผลัก ออกแรงดันดังเช่นที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้
การเรียนรู้ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่นี้จะสร้างมุมมองที่ค่อนข้างจะเป็นองค์รวม (holistic view) คือมองเห็นงาน เห็นปัญหา เห็นชีวิต ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน มองว่าปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของงาน และมองเห็นงานเป็นกระบวนการที่สำคัญของชีวิต จนอาจเข้าใจลึกซึ้งถึงขั้นที่เห็นว่า "การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" ตามคำกล่าวของท่านอาจารย์พุทธทาสเลยทีเดียว ในขณะที่กระบวนทัศน์เดิมจะมองงานด้วยสายตาที่คับแคบกว่ามาก คือมองเห็นงานว่าเป็นเรื่องของการทำมาหากินประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้เงินมาสำหรับจับจ่ายใช้สอยเพียงเท่านั้น ผู้ที่คิดเช่นนี้ มักจะเห็นงานว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่ต้องทนทำไป เพียงเพื่อให้ได้เงินมาจึงจะมีความสุข หลายคนถึงกับบ่นกับตัวเองว่า เมื่อไรจะถึงวันหยุด เมื่อไรจะถึงวันเสาร์-อาทิตย์ (สำหรับคนที่ทำงานออฟฟิศ หรือรับราชการ) ซึ่งการคิดแบบนี้จะเห็นได้ทันทีว่าพวกเขาเหล่านี้จะมีชีวิตที่ "ขาดทุน" ไปทุกๆสัปดาห์ เพราะสัปดาห์หนึ่งๆ จำต้องทนทุกข์ทรมานไป 5 วัน โดยที่รู้สึกสุขได้เพียงแค่ 2 วัน เรียกว่าต้องขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆทุกสัปดาห์ แต่ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่นี้ที่มองเห็นงาน ปัญหา และชีวิตว่าเป็นสิ่งเดียวกัน จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพร่ำสอนอยู่เสมอว่า "ความสุขที่แท้ มีอยู่แต่ในงาน"
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งสำหรับสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ แต่ลำพังเพียงแค่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือวิถีคิด ก็มิได้หมายความว่านวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เองโดยปริยาย จำเป็นจะต้องอาศัยปัจจัยและองค์ประกอบอื่นๆมาอุดหนุนเกื้อกูลจึงจะประสบผลสำเร็จ ในบทความนี้จะขอหยิบยก 3 องค์ประกอบหลัก ที่ถือว่าจำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้แก่ (1) เวลา (2) เวที และ (3) ไมตรี
องค์ประกอบแรกที่จะขอพูดถึงก็คือเรื่องของ "เวลา" พูดง่ายๆและตรงที่สุดก็คือถ้าไม่มีเวลา การเรียนรู้ก็ไม่เกิดหรือเกิดได้ยาก ในหลายๆที่เรามักจะพบเห็นคนที่มีงานหรือที่ทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันจนดูเหมือนว่าไม่มีเวลาสำหรับใช้วิเคราะห์สังเคราะห์ปัญหาหรือสรุปบทเรียใดๆเลย ทั้งๆที่ในปัจจุบันนี้เราก็มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีไปอย่างมากมาย ชีวิตน่าจสะดวกสบายและมีเวลามากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าคนเรามีกลับมีเวลาว่างน้อยลง ความเจริญทางด้านต่างๆมีการพัฒนาไปอย่างกว้างขวาง ในบางจังหวัดบางพื้นที่มีการจัดระบบชลประทานที่ดีทำให้ชาวนามีน้ำเพียงพอที่จะทำนาได้ปีละกว่า 3 ครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่า ชาวนาไม่ได้มีสถานภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พวกเขากลับมีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลง สุขภาพเสื่อมโทรมเพราะทำงานหนักขึ้น สัมผัสกับสารเคมีมากขึ้น มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง จากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่า เวลาคือปัจจัยที่สำคัญอันดับแรกที่จำเป็นยิ่งสำหรับการเรียนรู้ องค์กร ชุมชน หรือครอบครัวใดที่คนมัวแต่ยุ่งอยู่ตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "โงหัวไม่ขึ้น" จะทำให้หมดโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ และไม่มีเวลาสำหรับใช้คิดสร้างสรรค์ได้เลย สภาพเช่นเดียวกันนี้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้ในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของสถาบันที่เป็นผู้นำเรื่องการเรียนรู้เช่นกัน นักศึกษาปริญญาโทส่วนใหญ่ต้องทำงานไปและเรียนไปด้วยควบคู่กัน หลายคนไม่เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าชั้นเรียน หรือไม่มีเวลาสำหรับ "ย่อย" สิ่งที่ได้รับฟังหรืออ่านมา บางคนก็ไม่มีเวลาที่จะร่วมทำงานกลุ่ม หรือวิเคราะห์กรณีศึกษาที่อาจารย์มอบหมายให้ ถึงแม้ตัวอาจารย์เองก็เช่นกันหลายคนยุ่งอยู่กับงานสอนทั้งที่เป็นโครงการปกติและโครงการพิเศษต่างๆ จนไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม หรือให้เวลาในการพบปะพูดคุยกับนักศึกษานอกชั้นเรียนได้เลย จากตัวอย่างทั้งหมดที่นี้คงจะเห็นแล้วว่า เวลามีความสำคัญต่อการเรียนรู้เพียงใด นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่า "เวลา"
นอกเหนือจากเรื่องเวลาแล้ว องค์ประกอบตัวต่อไปที่จะช่วยสนับสนุนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ได้ก็คือ จะต้องจัดให้มี พื้นที่ หรือเวที ไว้ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เวทีการเรียนรู้นี้ ถ้าจะให้ดีควรมีรูปแบบที่หลากหลาย คือ มีทั้งเวทีที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ อาทิเช่นการจัดประชุมรูปแบบต่างๆ และเวทีในรูปแบบที่อาจจะไม่เป็นทางการมากนัก คืออาจจัดในลักษณะที่เป็นการรวมตัวของคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน หรือทำงานด้านเดียวกัน เป็นการจับกันแบบ "หลวมๆ" คือให้เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ในภาษาอังกฤษเรียกการ "ชุมนุม" ของคนกลุ่มต่างๆนี้ว่า Community of Practices หรือเรียกสั้นๆว่า "CoPs" ตามจริงแล้ว การสร้าง CoPs ให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่นั้น สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องพยายามสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นให้มากที่สุด การที่ CoPs ประกอบด้วยคนที่มีพื้นฐานและประสบการณ์หลากหลายจะทำให้ได้มุมมองที่ค่อนข้างเปิดกว้าง แต่ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ จะต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายนี้ด้วย โดยที่ทุกคนจะต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ไม่ใช่ไปกันคนละทิศคนละทาง กำหนดเป็นหลักการได้ว่า "ความคิดเห็นจำเป็นต้องหลากหลาย แต่เป้าหมายจะต้องเป็นหนึ่งเดียว" ความคิดเห็นที่หลากหลายนี้จะเป็นหัวเชื้อสำคัญที่ทำให้เกิดพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่สำคัญก็คือ คนที่มารวมตัวกันนี้จะต้องรู้สึกอิสระและปลอดภัย ความเป็นอิสระ และความรู้สึกปลอดภัย จะทำให้คนเชื่อใจกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน ทำให้พร้อมที่จะแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เวทีดังกล่าวนี้เป็นได้ทั้งพื้นที่ทางกายภาพ (physical space) ที่คนสามารถเข้ามาพบปะ พูดคุย ประชุมกัน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ หรืออาจจะเป็นพื้นที่เสมือน (virtual space) ที่สร้างขึ้นมาโดยอาศัยเครือข่ายอินเตอร์เนท (internet) ก็ได้ อาทิเช่น การใช้ e-mail loop, webboard หรือ weblog จริงๆแล้วเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (Information & Communication Technology) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "ICT" นั้นเป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างทรงพลังอย่างยิ่งในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มการใช้ internet/ search engine และการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ICT นั้นอาจช่วยได้ในเรื่อง "to know" หรือ "การรู้" แต่อาจจะไม่สามารถช่วยเรื่อง "to learn" หรือ "การเรียนรู้" ได้มากนักเพราะเรื่องการเรียนรู้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยคน เป็นกระบวนการที่ต้องผ่านคนเป็นหลัก คนหลายคนยังสับสนแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่เราเรียกว่า "รู้" ซึ่งก็คือ " to know" กับการเรียนรู้ ซึ่งก็คือ "to learn" การรู้กับการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน การรู้ หรือ to know เป็นการมองภายใต้กระบวนทัศน์เดิม คือเป็นการมองแบบ supply-side มองเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการให้รู้ จึง supply ให้ ในขณะที่การเรียนรู้หรือ to learn นั้นเป็นการมองภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่ ภายใต้มุมมองแบบ demand-side เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมาควบคู่กับการที่ได้ "ทำจริง" เป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ (learning by doing) เมื่อได้ทำ ก็ทำให้ได้ รู้จริง หรือเมื่อทำไปเรื่อยๆก็อาจจะ รู้แจ้ง ได้ ไปในที่สุด จุดแข็งของ ICT นั้นอยู่ตรงที่สามารถสร้างเครือข่ายที่กว้างไกลและสามารถขยายไปได้อย่างรวดเร็ว การสร้างเวทีเสมือนบนเครือข่าย ICT จึงเป็นเวทีที่ทำให้ผู้สนใจเข้าถึงได้โดยง่าย สะดวกรวดเร็ว ทำให้สามารถขยาย การรู้ หรือ to know นี้ออกไปได้อย่างกว้างขวาง โจทย์ที่เหลืออยู่ก็คือ จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้ที่ได้รู้เหล่านี้เดินต่อไปจนถึงขั้นที่จะลองนำมาปฏิบัติ เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริงต่อไป ขอย้ำอีกครั้งว่า ICT นั้นเป็น "เครื่องมือ" ที่ทรงพลังในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ แต่ ICT มิใช่ "เป้าหมาย" ICT มิได้เป็นตัวนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สามที่จำเป็นสำหรับสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ นอกเหนือจากที่ต้องมี เวลา มีพื้นที่หรือเวทีให้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ไมตรี คือต้อง มีใจ ให้แก่กันและกันด้วย ท่านลองหลับตานึกดูก็แล้วกันว่า ถ้ามีเวลาให้ และมีการจัดสรรพื้นที่ให้พบปะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกันแล้ว หากแต่ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องมีใจที่ปิดกั้น คับแคบ เต็มไปด้วยอัตตา (ego) มีอคติ (bias) แล้วจะเกิดอะไรขึ้น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เปิดกว้าง ต้องเป็น "ใจที่ว่าง" ว่างพอที่จะพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะ "น้ำชาล้นถ้วย" คือไม่สามารถรับอะไรใหม่ลงไปได้อีกเลย นอกจากนั้นใจที่ว่างยังหมายถึงการที่ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆ จะต้องพัฒนาให้คนมีความสามารถที่จะ "ลอกทิ้ง" สิ่งเก่าๆ คือมีทักษะที่จะ "unlearn" ได้ด้วย ใจที่ปล่อยวาง จะเป็นใจที่ไม่อคติ จะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัจจุบันขณะ เห็นทุกอย่างในลักษณะที่ "ใหม่หมด สดเสมอ" เพราะเป็นการเห็นด้วยความระลึกรู้ด้วยความรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเห็นนั้นเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ซ้ำกับสิ่งที่ได้เกิดไปแล้วในอดีต เป็นความรู้สึกที่ตื่น ชื่นบาน ต้องการแบ่งปัน และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
การศึกษาที่แท้นั้น จะไม่มองผู้เรียนเปรียบดั่งเป็นถังน้ำ และมองบทบาทของครูผู้สอนว่าเป็นผู้ที่มีหน้าที่เติมน้ำให้เต็มถัง ซึ่งก็จะเป็นการมองแบบ supply-side หากแต่ต้องมองว่าหน้าที่ของครูอาจารย์นั้นจริงๆแล้วก็คือผู้ที่จุดไฟแห่งความใฝ่รู้ให้กับผู้ที่เป็นศิษย์ ทำให้ศิษย์เกิดฉันทะมีความต้องการที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนอย่างไม่จบสิ้น เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าพ่อครัวจะเก่งกาจในฝีมือปรุงอาหารสักเพียงใด หากผู้ที่รับประทานไม่หิวแล้ว อาหารมือนั้นก็คงจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก" ดังนั้นโจทย์ที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้น่าจะอยู่ตรงที่ว่า เราจะต้องทำอย่างไรให้คนหิวกระหายและใคร่ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การสร้างฉันทะ สร้างความต้องการที่จะพัฒนางาน พัฒนาชีวิตให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เท่ากับเป็นการสร้างdemand สร้างแรงดึง (pull) อันนำไปสู่การเรียนรู้ชนิดที่แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับชีวิต สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องรู้จัก "บริหารความว่าง" คือต้องไม่ลืมที่จะจัดเวลา หาเวลาว่าง เตรียมพื้นที่ หาที่ว่าง ไว้สำหรับใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญคือจะต้องไม่ลืมที่จะพัฒนาใจให้รู้จักการปล่อยวาง และว่างพอที่จะรู้สึกและเข้าใจในคุณค่าของสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราอยู่ในขณะนี้


ที่มา http://gotoknow.org/blog/pot001/168000


-----------------------

* ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้